สรุปเนื้อหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

Categories: 

แน่นอนครับ เพื่อช่วยให้คุณทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดจากแหล่งข้อมูลที่ให้มานี้ได้อย่างครอบคลุม ผมได้รวบรวมเนื้อหาสำคัญและนำเสนอในรูปแบบหัวข้อต่างๆ พร้อมรายละเอียด ตัวอย่าง และการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูล ดังนี้ครับ ภาพรวมจากแหล่งข้อมูล: แหล่งข้อมูลที่คุณให้มาเป็นการอธิบายและตีความพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยเน้นการทำความเข้าใจในประเด็นสำคัญที่มักถูกนำไปออกข้อสอบ มีการเน้นย้ำคำศัพท์หลัก (คีย์เวิร์ด) ความแตกต่างระหว่างแนวคิด และบทบาทหน้าที่ขององค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ต่อไปนี้คือการสรุปเนื้อหาตามหัวข้อต่างๆ:

1. นิยามและความหมายที่สำคัญ

แหล่งข้อมูลได้อธิบายนิยามคำศัพท์สำคัญตาม พรบ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจกฎหมาย: • การศึกษาขั้นพื้นฐาน: หมายถึง การศึกษาที่จัดขึ้น ก่อนระดับอุดมศึกษา o ตัวอย่าง: อนุบาล, ประถมศึกษา, มัธยมศึกษา (ม.1-ม.6), และ ปวช. (เทียบเท่า ม.4-ม.6) ถือเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพราะเรียนก่อนระดับอุดมศึกษา o ข้อควรระวัง: ปวส. ไม่ใช่การศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่เป็นการศึกษา ระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา • การศึกษาตลอดชีวิต: หมายถึง การศึกษาที่เกิดจากการผสมผสานระหว่าง การศึกษาในระบบ + การศึกษานอกระบบ + การศึกษาตามอัธยาศัย (หรือจำสั้นๆ ว่า ใน + นอก + อัธ) เพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต o ตัวอย่าง: การเรียนในโรงเรียน (ในระบบ), การเรียน กศน. หรือ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ (นอกระบบ), การเรียนรู้ด้วยตนเองจาก YouTube, ปราชญ์ชาวบ้าน, หรือแหล่งความรู้อื่นๆ ตามความสนใจ (ตามอัธยาศัย) • ผู้สอน: หมายถึง ครู และ คณาจารย์ ในสถานศึกษาระดับต่างๆ แหล่งข้อมูลเน้นย้ำว่า ครูและคณาจารย์นั้น ไม่เหมือนกัน o ครู: คือ บุคลากร วิชาชีพ ที่ทำหน้าที่หลักด้านการเรียนการสอน o คณาจารย์: คือ บุคลากร ที่ทำหน้าที่หลักด้านการสอน และการวิจัย ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา (ระดับปริญญา ของรัฐและเอกชน) o ข้อแตกต่างสำคัญ: ครูต้องเป็นบุคลากร วิชาชีพ (ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ) แต่คณาจารย์ ไม่มี คำว่าวิชาชีพ (ไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ) • ผู้บริหารสถานศึกษา: หมายถึง บุคลากร วิชาชีพ ที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาแต่ละแห่ง (ของรัฐและเอกชน) o ตัวอย่าง: ผอ. โรงเรียน, รอง ผอ. โรงเรียน o ข้อสังเกต: มีคำว่า "วิชาชีพ" จึงต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา • ผู้บริหารการศึกษา: หมายถึง บุคลากร วิชาชีพ ที่รับผิดชอบการบริหารการศึกษานอกสถานศึกษา ตั้งแต่ระดับเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป o ตัวอย่าง: ผอ. เขต, รอง ผอ. เขต o ข้อสังเกต: มีคำว่า "วิชาชีพ" จึงต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา • บุคลากรทางการศึกษา: หมายถึง ผู้บริหารสถานศึกษา, ผู้บริหารการศึกษา, และ ผู้สนับสนุนการศึกษา (รวมถึง ศึกษานิเทศก์ ด้วย) • การประกันคุณภาพการศึกษา: หมายถึง การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา เพื่อให้เกิดการพัฒนาและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสาธารณชน มี 2 ประเภทหลัก คือ: o การประกันคุณภาพภายใน: การประเมินและติดตามตรวจสอบคุณภาพจาก ภายใน โดยบุคลากรของสถานศึกษา หรือหน่วยงานต้นสังกัด (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา) เป็นหน้าที่ของบุคลากรในสถานศึกษา ทุกคน ต้องทำ ทุกปี o การประกันคุณภาพภายนอก: การประเมินและติดตามตรวจสอบคุณภาพจาก ภายนอก โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) หรือบุคคล/หน่วยงานภายนอกที่ สมศ. รับรอง • การศึกษา: แหล่งข้อมูลระบุว่า นิยามของ "การศึกษา" ตาม พรบ. รวมถึง การสืบสานทางวัฒนธรรม, การสร้างสรรค์ จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ, การสร้างองค์ความรู้ อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสังคม o ข้อควรระวัง: คำว่า "การสั่งสอน" หรือ "การสอน" ไม่ใช่ นิยามตามลายลักษณ์อักษรของคำว่า "การศึกษา" ตาม พรบ. นี้

2. ความมุ่งหมายและหลักการจัดการศึกษา

พรบ. กำหนดความมุ่งหมายและหลักการพื้นฐานในการจัดการศึกษา: • ความมุ่งหมาย: การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข [หมายเหตุ: แหล่งข้อมูลกล่าวถึง "มนุษย์ที่สมบูรณ์" ตาม พรบ. 2542 เทียบกับ "มนุษย์ที่สมดุล" ในหลักสูตรแกนกลาง ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของแหล่งข้อมูลที่ให้มา] • หลักการจัดการศึกษา (มาตรา 8): ต้องยึดหลัก 3 ประการ (ตลอด ร่วม ต่อ) ซึ่งออกสอบบ่อยมาก 1. เป็น การศึกษาตลอดชีวิต สำหรับประชาชน (ใน + นอก + อัธ) 2. ให้ สังคมมีส่วนร่วม ในการจัดการศึกษา  ตัวอย่าง: คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน (กรรมการสถานศึกษา) เข้ามามีส่วนร่วมให้ความเห็นชอบหลักสูตรสถานศึกษา หรือการใช้เงินงบประมาณ การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่าง ต่อเนื่อง  ความหมาย: สถานศึกษาต้องวิเคราะห์มาตรฐาน ตัวชี้วัด บริบท สภาพสังคม และองค์ความรู้ใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงการจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ

3. สิทธิและโอกาสทางการศึกษา (มาตรา 10)

พรบ. กำหนดสิทธิและโอกาสที่บุคคลพึงได้รับ: • สิทธิพื้นฐาน: บุคคลย่อมมีสิทธิและโอกาส เสมอภาคกัน ในการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย (สำหรับเด็กปกติทั่วไป) • การศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่อง/พิการ/ด้อยโอกาส: ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นพิเศษ โดยจัด ตั้งแต่แรกเกิด หรือแรกพบความพิการ (จัดเป็นพิเศษ ตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ) o ความหมายของบุคคลซึ่งมีความบกพร่อง/ไม่สามารถพึ่งตนเองได้: รวมถึงผู้พิการทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสาร การเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ/ทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ (เช่น เป็นโรคอ้วนผิดปกติ) หรือไม่ผู้ดูแล หรือด้อยโอกาสอื่นๆ • การศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ/เก่ง: ต้องจัดด้วยรูปแบบที่ เหมาะสม กับความสามารถของบุคคลนั้น (คีย์เวิร์ด: เหมาะสม) • การศึกษาภาคบังคับ: มาตรา 11 กำหนดให้เด็กต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับ (จนจบ ม.3) [หมายเหตุ: แหล่งข้อมูลไม่ได้ระบุมาตรา 11 โดยตรง แต่กล่าวถึงการศึกษาภาคบังคับในบริบทของ ม.3] เมื่อจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว การจะเรียนต่อ ม.4 หรือ ปวช. ขึ้นอยู่กับ ความพร้อมของครอบครัว

4. รูปแบบและระดับการศึกษา

พรบ. แบ่งการศึกษาเป็นรูปแบบและระดับต่างๆ: • รูปแบบการศึกษา: มี 3 รูปแบบหลัก ซึ่งมีสถานะเท่าเทียมกัน (เหมือนวางบนพื้นเรียบ) ได้แก่ 1. การศึกษาในระบบ: กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการ หลักสูตร ระยะเวลา การวัดและประเมินผลที่ แน่นอน (คีย์เวิร์ด: แน่นอน)  ตัวอย่าง: โรงเรียนประถม, โรงเรียนมัธยมทั่วไป 2. การศึกษานอกระบบ: มีความ ยืดหยุ่น ในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลา และการวัดประเมินผล (คีย์เวิร์ด: ยืดหยุ่น) เนื้อหา/หลักสูตรต้องเหมาะสม สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม  ตัวอย่าง: กศน. (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้) 3. การศึกษาตามอัธยาศัย: เป็นการศึกษาที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความสนใจ (คีย์เวิร์ด: ตามความสนใจ) ตามศักยภาพ ความพร้อม โอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม สื่อ หรือแหล่งความรู้อื่นๆ  ตัวอย่าง: เรียนรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน ผู้เชี่ยวชาญ ฟังบรรยาย, เรียนจาก YouTube, Facebook, แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ • ระดับการศึกษา: การศึกษาในระบบมี 2 ระดับ (เหมือนขั้นบันได) ได้แก่ 1. การศึกษาขั้นพื้นฐาน: จัดไม่น้อยกว่า 12 ปี ก่อนระดับอุดมศึกษา 2. การศึกษาระดับอุดมศึกษา: จัดหลังการศึกษาขั้นพื้นฐาน (แบ่งเป็นระดับปริญญาและต่ำกว่าปริญญา เช่น ปวส.) • ความยืดหยุ่นในการจัดการศึกษา: สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง หรือ จัดทั้ง 3 รูปแบบ (ในระบบ, นอกระบบ, ตามอัธยาศัย) ก็ได้ในโรงเรียนเดียวกัน • การเทียบโอนผลการเรียนรู้: สามารถ เทียบโอน ผลการเรียนรู้ที่สะสมไว้ได้ระหว่างรูปแบบเดียวกัน หรือ ต่างรูปแบบ ก็ได้ในทุกระดับชั้น รวมถึงจากการฝึกอาชีพ ประสบการณ์ทำงานด้วย ความหมาย: การเทียบโอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนำความรู้/ประสบการณ์จากแหล่งต่างๆ มาคิดรวมในการศึกษาในระบบ/นอกระบบ/ตามอัธยาศัยได้

5. สถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้

พรบ. กำหนดประเภทสถานศึกษาและการจัดหาแหล่งเรียนรู้: • ประเภทสถานศึกษา (มาตรา 18): การศึกษาขั้นพื้นฐาน อาจจัดในสถานศึกษา ดังนี้ 1. สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย: ได้แก่ ศูนย์เด็กเล็ก, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก, ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนเกณฑ์ของสถาบันศาสนา, ศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มของเด็กพิการและเด็กซึ่งมีความต้องการพิเศษ, หรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เรียกชื่ออย่างอื่น  ข้อสังเกต/ข้อควรระวัง: สถานที่ที่ขึ้นต้นด้วย "ศูนย์" เหล่านี้เป็นสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ไม่ใช่ ศูนย์การเรียน 2. โรงเรียน: ได้แก่ โรงเรียนของรัฐ, โรงเรียนเอกชน, และโรงเรียนที่สังกัดสถาบันพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่น (คำว่า "โรงเรียน" ขึ้นต้นเหมือนกัน จำง่าย) 3. ศูนย์การเรียน: ได้แก่ สถานที่เรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกโรงเรียน, บุคคล, ครอบครัว, ชุมชน, องค์กรเอกชน, องค์กรวิชาชีพ, สถาบันศาสนา, สถานประกอบการ, สถานพยาบาล, สถาบันการแพทย์ หรือสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด  ข้อสังเกตสำคัญ: ผู้สอนใน สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และ โรงเรียน ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู แต่ผู้สอนใน ศูนย์การเรียน ไม่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู นี่คือสิ่งที่ทำให้บุคคล/องค์กรต่างๆ สามารถจัดการศึกษาแบบ Home School หรือสถานประกอบการจัดเองได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องใบอนุญาตครู • แหล่งเรียนรู้ (มาตรา 25): รัฐต้องจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างพอเพียงและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างแหล่งเรียนรู้ตาม พรบ.: ห้องสมุดประชาชน, พิพิธภัณฑ์, หอศิลป์, สวนสัตว์, สวนสาธารณะ, สวนพฤกษศาสตร์, อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ, แหล่งข้อมูลและแหล่งการเรียนรู้อื่น ข้อควรระวัง: สถานที่ที่เราอาจจะไปทัศนศึกษาบ่อย เช่น วัด หรือชายหาดริมทะเล ไม่ใช่ แหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตตามรายลักษณ์อักษรในมาตรานี้

6. การวัดและประเมินผู้เรียนและหลักสูตร

พรบ. กำหนดแนวทางการประเมินผู้เรียนและการกำหนดหลักสูตร: • การประเมินผู้เรียน (มาตรา 26): สถานศึกษาต้องจัดให้มีการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจาก 5 ด้าน (พัด พฤ สัง ร่วม สอบ) 1. พัด = พัฒนาการของผู้เรียน 2. พฤ = ความประพฤติ 3. สัง = การสังเกตพฤติกรรมการเรียน 4. ร่วม = การร่วมกิจกรรม 5. สอบ = การทดสอบ ควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอน ข้อสังเกตสำคัญ: การทดสอบต้องควบคู่กับการเรียนการสอน ไม่ใช่เน้นการทดสอบปลายภาคคะแนนสูงๆ อย่างเดียว เจตนารมณ์คือเน้นคะแนนเก็บ สอนไปทดสอบไปเพื่อพัฒนาผู้เรียนเป็นหลัก • หลักสูตรแกนกลาง (มาตรา 27): ผู้ที่มีอำนาจกำหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ข้อควรระวัง: ไม่ใช่ สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) แม้ กพฐ. จะเป็นองค์คณะบุคคลที่อยู่ใน สพฐ. ก็ตาม แต่ถ้าช้อยส์ไม่มี กพฐ. อาจต้องเลือก สพฐ. หากมีความใกล้เคียงที่สุด • เป้าหมายของหลักสูตรแกนกลาง: ทำขึ้นเพื่อ (จำสูตรลัด ไทย ดี ชี อา สา หรือ ไทย ดี ชี ชีพ ต่อ) ไทย = ความเป็นไทย ดี = ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ชี = การดำรงชีวิต อา = การประกอบอาชีพ สา = การศึกษาต่อ

7. การบริหารและการจัดการศึกษา

พรบ. กำหนดหลักการและโครงสร้างการบริหาร: • หลักการบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐาน (มาตรา 32): ให้ยึด เขตพื้นที่การศึกษา โดยคำนึงถึง 4 อย่าง (ระดับ สถาน ประชากร วัฒนธรรม) 1. ระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน 2. จำนวน สถานศึกษา 3. จำนวน ประชากร 4. วัฒนธรรม และความเหมาะสมด้านอื่น ข้อควรระวัง: ช้อยส์หลอกที่พบบ่อยคือ จำนวนนักเรียน, จำนวนครู, จำนวนผู้บริหาร, จำนวนประชากรในจังหวัด ซึ่ง ไม่ถูกต้อง ตามรายลักษณ์อักษร ข้อยกเว้น: การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษา (เช่น ปวช.) ไม่อยู่ในระบบเขตพื้นที่การศึกษา แบบประถม/มัธยม • การกำหนดเขตพื้นที่การศึกษา (มาตรา 33): ผู้มีอำนาจประกาศกำหนดเขตพื้นที่การศึกษา (แบ่งเป็น ประถมศึกษา และ มัธยมศึกษา) คือ รัฐมนตรี โดย คำแนะนำ ของ สภาการศึกษา ข้อควรระวัง: ระวังการบิดคำ เช่น ให้คณะรัฐมนตรี, นายกรัฐมนตรี, โดยคำยินยอม/เห็นชอบ, โดยคำแนะนำของคุรุสภา/กระทรวงศึกษาธิการ/สพฐ./กพฐ. ซึ่ง ไม่ถูกต้อง • สถานศึกษาที่จัดทั้งประถมและมัธยม (โรงเรียนขยายโอกาส) (มาตรา 34): การกำหนดให้สถานศึกษาเหล่านี้อยู่ในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาใด (สพป. หรือ สพม.) ให้ ยึดระดับการศึกษาของสถานศึกษานั้นเป็นสำคัญ (ดูว่าโรงเรียนเริ่มต้นจัดในระดับใด) โดยประกาศกำหนดโดย รัฐมนตรี โดย คำแนะนำ ของ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ข้อสังเกต: การกำหนดสังกัดโรงเรียนขยายโอกาสใช้คำแนะนำของ กพฐ. ต่างกับการกำหนดเขตพื้นที่การศึกษาที่ใช้คำแนะนำของ สภาการศึกษา • คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กสจ.) และ สพท.: มีบทบาทสำคัญในการกำกับ ดูแล จัดตั้ง ยุบ รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ร่วมกัน บทบาทต่อสถานศึกษาเอกชน: ประสาน ส่งเสริม สนับสนุน บทบาทต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.): ประสาน ส่งเสริม (ไม่ต้องสนับสนุนด้านทรัพยากร/งบประมาณ เพราะ อปท. มีงบประมาณของตนเองเยอะ) บทบาทต่อบุคคล ครอบครัว ชุมชน: ส่งเสริม สนับสนุน (รวมถึงการสนับสนุนด้านทรัพยากร/เงินอุดหนุนด้วย) • คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน (มาตรา 37): มีองค์ประกอบจากผู้แทนผู้ปกครอง, ผู้แทนครู, ผู้แทนองค์กรชุมชน, ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ผู้แทนศิษย์เก่า, ผู้แทนพระภิกษุสงฆ์/องค์กรศาสนาอื่น, และผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหารสถานศึกษา (ผอ. โรงเรียน) เป็น กรรมการและเลขานุการ โดยตำแหน่ง ข้อควรระวัง: ผู้แทนต้องเป็น "ผู้แทนองค์กรชุมชน" ไม่ใช่ "ผู้แทนชุมชน" • การบริหารจัดการศึกษาของ อปท. (มาตรา 41): อปท. มีสิทธิ์จัดการศึกษาในระดับใดระดับหนึ่ง หรือ ทุกระดับ ตามความพร้อม ความเหมาะสม และความต้องการภายในท้องถิ่น • การประเมินความพร้อมของ อปท. ในการจัดการศึกษา (มาตรา 42): กระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อม

8. การประกันคุณภาพการศึกษา

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบการประกันคุณภาพ: • จุดประสงค์ของการประกันคุณภาพ: เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง (เช่น ผู้ปกครอง) ว่าสถานศึกษาสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ และบรรลุเป้าประสงค์ของหน่วยงานต้นสังกัด • กระบวนการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา (6 ขั้นตอน): 1. กำหนด มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา (ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาที่ รมว.ศธ. ประกาศกำหนด) 2. จัดทำ แผนพัฒนาการจัดการศึกษา ที่มุ่งเน้นคุณภาพตามมาตรฐาน 3. ดำเนินการตามแผน 4. จัดให้มีการ ประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพ ภายในสถานศึกษา 5. ติดตามผล การดำเนินงานเพื่อพัฒนาสถานศึกษา 6. จัดส่งรายงานผลการประเมินตนเอง (SAR) • บทบาทของ สพท. ในการประกันคุณภาพภายใน: ให้ คำปรึกษา ช่วยเหลือ และแนะนำ สถานศึกษา • การประเมินคุณภาพภายนอกโดย สมศ. (มาตรา 49): สมศ. มีฐานะเป็น องค์การมหาชน มีหน้าที่พัฒนาเกณฑ์และวิธีการประเมินคุณภาพภายนอก ต้องทำการประเมินสถานศึกษา ทุกแห่ง อย่างน้อย 1 ครั้ง ในทุก 5 ปี สิ่งที่ สมศ. คำนึงถึงในการประเมิน: ความมุ่งหมาย, หลักการ, และ แนวการจัดการศึกษา ในแต่ละระดับตามที่ พรบ. กำหนดไว้ • ผลการประเมินที่ไม่ผ่านเกณฑ์ (มาตรา 51): หากผลการประเมินภายนอกของสถานศึกษาใดไม่ได้มาตรฐาน สมศ. จะจัดทำ ข้อเสนอแนะการปรับปรุงแก้ไข ต่อ หน่วยงานต้นสังกัด (เช่น สพท.) หากสถานศึกษาไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะ สมศ. จะ รายงานต่อ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) หรือคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (แล้วแต่สังกัด) เพื่อให้มีการดำเนินการปรับปรุงแก้ไขต่อไป ข้อควรระวัง: สมศ. รายงานต่อ กพฐ. ไม่ใช่ สพฐ.

9. บุคลากรทางการศึกษาและองค์กรวิชาชีพ

พรบ. กำหนดเกี่ยวกับบุคลากรและหน่วยงานที่ดูแลวิชาชีพ: • ผู้ที่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ (มาตรา 53): ครู, ผู้บริหารสถานศึกษา, ผู้บริหารการศึกษา, และ บุคลากรทางการศึกษาอื่น (เช่น ศึกษานิเทศก์) ทั้งของรัฐและเอกชน ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตามที่กฎหมายกำหนด • องค์กรวิชาชีพครู (คุรุสภา): เป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่หลักดังนี้ o กำหนด มาตรฐานวิชาชีพ (มาตรฐานด้านความรู้/ประสบการณ์, ด้านการปฏิบัติงาน, ด้านการปฏิบัติ ตน/จรรยาบรรณ) o ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ o กำกับดูแลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานและจรรยาบรรณ ของวิชาชีพ o ข้อสังเกต: คุรุสภาเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ (ไม่ใช่สายบังคับบัญชาโดยตรง) • องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู (กคศ.): พรบ. กำหนดให้มีองค์กรกลางนี้ ซึ่งต่อมาคือ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (กคศ.) ที่ตั้งขึ้นตาม พรบ. ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 o หน้าที่หลักของ กคศ.: กำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น การสอบบรรจุแต่งตั้ง, การปฏิบัติงาน, วินัย, อุทธรณ์, ร้องทุกข์

10. ทรัพยากรเพื่อการศึกษาและเทคโนโลยี

พรบ. กล่าวถึงการสนับสนุนด้านทรัพยากรและเทคโนโลยี: • การจัดสรรงบประมาณ (มาตรา 60): รัฐ (รวมถึง กระทรวงการคลัง, กระทรวงศึกษาธิการ, สพฐ., สพท., สถานศึกษา) ต้องจัดสรร งบประมาณแผ่นดินให้กับการศึกษาในฐานะที่มีความสำคัญสูงสุด โดยจัดสรรเป็นเงินงบประมาณเพื่อการศึกษา o ตัวอย่าง: เงินรายหัว, ค่าอุปกรณ์การเรียน, ค่าชุดเครื่องแบบนักเรียน, ค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน (เกิดจากมาตรานี้) • การระดมทรัพยากร (มาตรา 9 (5)): กฎหมายเปิดโอกาสให้สถานศึกษาสามารถ ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆ มาใช้ในการจัดการศึกษาได้ o ตัวอย่าง: จัดผ้าป่าเพื่อการศึกษา, รับบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา (ผู้บริจาคสามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า) • การใช้ทรัพย์สินของสถานศึกษา (มาตรา 59): สถานศึกษาของรัฐที่เป็นนิติบุคคล (เช่น มหาวิทยาลัย, โรงเรียนในปัจจุบัน) มีอำนาจปกครอง ดูแล บำรุงรักษา และ ใช้จัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถานศึกษาได้ (รวมถึงที่ราชพัสดุ) โดยต้อง ไม่ขัดหรือแย้งกับนโยบาย วัตถุประสงค์ และภารกิจหลักของสถานศึกษา • เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (มาตรา 63): รัฐ ต้องจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนำ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นที่จำเป็นสำหรับการส่งวิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม และการศึกษาในรูปแบบอื่น เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย o ผู้มีหน้าที่จัดสรร: เห็นคำว่า "คลื่นความถี่" ให้นึกถึง รัฐ

11. การแก้ไขเพิ่มเติม พรบ.

แหล่งข้อมูลกล่าวถึงการแก้ไขเพิ่มเติมที่สำคัญบางประการ: • พรบ. ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545): เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญ o มีการจัดตั้ง กระทรวงวัฒนธรรม ทำให้ภารกิจด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม แยกออกจากกระทรวงศึกษาธิการ o มีการจัดตั้งคณะกรรมการ การอาชีวศึกษา ขึ้น ทำให้ภารกิจด้านอาชีวศึกษาแยกออกจากสายสามัญ มีบอร์ดของตนเอง • พรบ. ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2553): เกิดการ แยกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งก่อนหน้านี้เคยรวมกัน ดูแลทั้งประถมและมัธยม แต่ในปี 2553 ได้แยกออกเป็น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา

การทำความเข้าใจในแต่ละหัวข้อข้างต้น โดยเน้นที่นิยาม คีย์เวิร์ด ตัวอย่าง และข้อควรระวังตามที่แหล่งข้อมูลได้นำเสนอ จะช่วยให้คุณสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาของ พรบ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ปรากฏในแหล่งข้อมูลได้อย่างครบถ้วนและแม่นยำครับ